เจ้าสัวธนินท์ ก็เล่นคลับเฮ้าส์นะครับ แต่เจ้าสัวคุยอะไร น่าสนใจกว่า

( สรุปเก็บความ จากคลับเฮ้าส์ )
”เจ้าสัวธนินท์”ปกติเป็นคนถ่อมตัวอยู่แล้วทักทายผู้ฟังในคืนวันที่26กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วยประโยคแรก”ตื่นเต้นเหมือนกันที่ได้เข้า”คลับเฮาส์”พร้อมกับพูดต่อว่า “ผมว่าคลับเฮาส์ มีคนตั้งใจจริงๆ ที่จะเข้ามาฟัง พูดแล้วมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจยุคใหม่ไม่เหมือนแบบเก่า เราต้องเปิดใจเรียนรู้กับคนใหม่ๆ เรามันรุ่นเก่า ประสบการณ์ของเราผ่านมากับธุรกิจที่ล้าสมัยไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับคน การบริหารคน การลงลึก รู้จริง พร้อมกับสอนบทเรียน”เถ้าแก่ใหม่”ให้รู้จักการวางแผนว่าในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีสามารถอำนวยความสะดวกสบายได้มากมายแม้กระทั่งการทำงานในยุคนี้ที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศอย่างเดียวแล้วเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในยุคใหม่เราควรปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เข้ากับยุคสมัยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์
เจ้าสัวยังได้แนะเคล็ดลับการทำธุรกิจในยามเศรษฐกิจไม่ดีไม่มีคนซื้อโดยให้เรียนรู้จากธุรกิจคนอื่นและต่อยอด“เราต้องศึกษาธุรกิจของเราก่อนจากการดูธุรกิจของคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา ควรจะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนในรูปแบบการต่อยอดมากกว่า เปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่ถนัด ยกตัวอย่างธุรกิจกระเป๋าเดินทาง ในปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวซบเซาลงเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 อาจจะต้องเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งาน หรือเพิ่มฟังก์ชันเพื่อให้มันน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจทำกระเป๋าเดินทาง ตอนนี้คนเที่ยวน้อย ยอดขายก็ตก ก็ลองหาโอกาสใหม่ ๆ อย่างทำกระเป๋าที่สามารถเก็บความเย็น หรือกระเป๋าสำหรับการขนส่ง ก็น่าจะมีตลาดอยู่”
เจ้าสัวธนินท์ได้เล่าถึงแผนตั้งกองทุนช่วยเหลือกลุ่ม สตาร์ทอัพวงเงิน 100 ล้านเหรียญพร้อมชี้ช่องว่าใครจะเข้าข่ายได้รับทุนโดยดูจาก สตาร์ทอัพ แต่ละคนมีการลงทุนธุรกิจแบบ 4.0 หรือแบบใหม่หรือไม่ หรือมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างไรบ้าง สตาร์ทอัพ ต้องทำของใหม่เพื่อให้ดีกว่าจากการต่อยอดจากสิ่งเดิม ให้เงินเขาอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูแลให้ความรู้เขาเพื่อการส่งเสริมการขาย สร้างประสบการณ์จากของเก่าสิ่งที่เราเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เพื่อให้ของใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมมุติว่าจะทำสินค้ามาขายกับ 7-11 ตัวเซเว่นเองต้องไปดูว่าจะทำยังไงให้ได้สินค้าที่เป็นของดีราคาถูก ก็ต้องเข้าไปช่วยในการบริหาร เอาประสบการณ์โลกเก่าเข้าไปช่วย ทุกวันนี้หาซื้อวัตถุดิบได้ง่ายขึ้น พอผลิตสินค้าแล้ว จะทำออกไปขายทั่วโลก แต่ สตาร์ทอัพ ก็ต้องศึกษาข้อมูลวัตถุดิบ ข้อมูลตลาดทั่วโลก ชวนคนเก่งจากทั่วโลกเข้ามาช่วยกัน วันนี้ต้องเอาคนเก่งเป็นทีมมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่ แมนโชว์ แล้ว
เจ้าสัวธนินท์นั้นให้ความสำคัญกับคนมากร่ำลือกันว่าเวลาสัมภาษณ์คนเข้าทำงานต้องมีซินแสคอยดูโหงวเฮ้งขณะเดียวกันซีพี.ยังลงทุนราวๆพันล้านตั้งสถาบันผู้นำเพื่อพัฒนาคนในองค์กร แนะนำว่า
“การจะพัฒนาคนในตอนนี้ ที่ผู้คนมีอารมณ์หดหู่กันอยู่ มีการปลุกพลังคนในองค์กรอย่างไร?ต้องคิดว่าทีมงานของเราเหมาะสมกับอะไรศึกษาคนเพื่อให้อำนาจและให้โอกาสเขา ให้ลองถูกลองผิด ให้โอกาสให้เงินเขา แล้วชี้แนะแต่ไม่ชี้นำ เรามีหน้าที่สนับสนุน เรามีหน้าที่ติดตาม
สุดท้ายการตลาดสำคัญมากให้เขาไปลองถูกลองผิด ไม่มีสตาร์ทอัพคนไหนไม่เคยผิด กองทุนที่ตั้งต้องให้ความรู้เขาเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ ยังไม่พอต้องช่วยเขาหาตลาดเรียกได้ว่าช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านเพื่อให้เขาประสบความสำเร็จ .ให้ศึกษาสตาร์ทอัพ จากต่างประเทศ ว่าเขาขายให้ใคร แล้วประสบความสำเร็จอย่างไร อาจจะมีกองทุนใหญ่อีกกองทุนหนึ่ง สำหรับลงทุนในบริษัทที่ทำสำเร็จแล้ว เรียนรู้แล้วก็ต่อยอด วิกฤตเที่ยวนี้ทำให้ธุรกิจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนใหม่ ๆ ก็มาแทนที่คนเก่าดีสทรัปชัน ต้องระวังคนจากข้างหน้า เพราะคู่แข่งมาจากนอกอุตสาหกรรม สถาบันผู้นำ เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ของซีพี.ให้ นำเสนอโครงการต่อหน้าผม(เจ้าสัวธนินท์) ”ต้องดูว่าพระเอกหลักเรามีปัญหาไหม ถ้าจะก้าวเร็วแต่เงินเราไม่พอ ก็ต้องควบรวม ก็ต้องหาพาร์ตเนอร์ แต่ถ้าไม่มี ธุรกิจหลักก็ต้องอยู่รอดก่อน ถ้ากำลังของเรายังไม่พร้อม จะยังไม่ไป หรือถ้าจะไปก็ต้องหาทางควบรวม”เจ้าสัวแนะกลยุทธ์ธุรกิจและวิธีแก้ปัญหาว่า “แต่ก็ต้องหาปัญหาให้เจอว่าปัญหาอยู่ไหน จะทำให้สำเร็จต้องทำยังไง ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกัน มันถึงจะเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอนต้มยำกุ้ง ซีพี. ก็ต้องขายธุรกิจทิ้งไปหลายอย่าง เพื่อรักษาธุรกิจหลักเอาไว้ให้ได้ ในวิกฤตนี้ต้องดูพลังของเราก่อน รักษาแกนไว้ให้ได้ ถ้ามีโอกาสค่อยพุ่ง แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็อย่าเพิ่งออกไป”
บุคคลิกอย่างหนึ่งของเจ้าสัวธนินท์คือน้อมรับความผิดพลาดของตัวเองคืนนั้นเจ้าสัวได้สารภาพว่าตัดสินใจผิดที่ไม่ยอมให้ทุนกับ”แจ็กหม่า”ที่มาขอทุน
“ตอนนั้นไปฮ่องกง แล้วเจอแจ็กหม่า แล้วฟังที่นำเสนอไม่เข้าใจ เพราะที่ผ่านมาทำธุรกิจหนักมาตลอด แล้วยังนึกภาพไม่ออกธุรกิจเบาอย่างอี-คอมเมิร์ช ที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างตอนนั้น จะเป็นเงินได้ยังไง เหมือนตอนนี้ที่ยังไม่รู้จักบิตคอยต์ ลึกเท่าไหร่ ถ้าตอนนั้นไปลงทุนกับแจ็กหม่า ก็คงรวยไม่รู้เรื่องแล้ว “

About the Author

Related Posts

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save